นาฏศิลป์พื้นเมือง
นาฏศิลป์พื้นเมือง
นาฏศิลป์พื้นเมือง
ลักษณะของคนไทยที่มีความสนุกสนานรื่นเริง ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากการประกอบอาชีพก็สามารถหาความบันเทิง เพื่อผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านั้นได้ และการที่คนไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนมีความสามารถตอบโต้ด้วยคารมคมคาย จึงทำให้เกิดการละเล่นพื้นเมืองขึ้น เช่น เพลงเกี่ยวข้าว เพลงเรือ เป็นต้น ในสังคมไทยตั้งแต่เกิดถึงตายก็เกี่ยวข้องกับดนตรีและนาฏศิลป์ นับได้ว่า ดนตรีและนาฏศิลป์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยในทุกๆภาคของประเทศไทย นาฏศิลป์พื้นเมืองเป็นการแสดงที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคต่างๆ ของประเทศไทย
ประเภทของนาฏศิลป์พื้นเมือง แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ได้แก่
๑. นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ
๒. นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคกลาง
๓. นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคอีสาน
๔. นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคใต้
นาฏศิลป์ภาคเหนือ
ฟ้อนเทียน
นาฏศิลป์พื้นเมืองภาคเหนือ
ฟ้อนเทียน
ฟ้อนเทียน เป็นการฟ้อนที่มีลักษณะศิลปะที่อ่อนช้อยงดงาม ลักษณะการแสดงไม่ต่างจากการแสดงฟ้อนเล็บ ถ้าเป็นการแสดงฟ้อนเทียน นิยมแสดงในเวลากลางคืนเพื่อเน้นความสวยงามของแสงเทียนระยิบระยับสว่างไสว จุดเด่นของการแสดงชนิดนี้ จึงอยู่ที่แสงเทียนที่ผู้แสดงถือในมือข้างละ ๑ เล่ม เข้าใจว่าการฟ้อนเทียนนี้แต่เดิมคงจะใช้เป็นการแสดงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการสักการะเทพเจ้าที่เคารพนับถือในงานพระราชพิธีหลวง ตามแบบฉบับล้านนาของทางภาคเหนือของไทย ผู้ฟ้อนมักใช้เจ้านายเชื้อพระวงศ์ฝ่ายในทั้งสิ้น ในสมัยปัจจุบันการแสดงชุดนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจะสังเกตเห็นว่าความสวยงามของการฟ้อนอยู่ที่การบิดข้อมือที่ถือเทียนอยู่ แสงวับๆ แวมๆ จากแสงเทียนจึงเคลื่อนไหวไปกับความอ่อนช้อยลีลา และลักษณะของเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบนับเป็นศิลปะที่น่าดูอย่างยิ่งแบบหนึ่ง
ผู้แสดง หญิงล้วน ใช้รำเป็นคู่ จะเป็น คู่ ๑ คู่ ๒ คู่ ๓ คู่ ๔ คู่ หรือมากกว่านี้ก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสและสถานที่
เครื่องดนตรี ได้แก่ กลองแอว ปี่ แน ฉาบใหญ่ ฆ้องวงใหญ่ และตะหลดปด
การแต่งกาย ใช้ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วน นิยมแสดงหมู่คราวละหลายคน โดยจำนวนคนเป็นเลขคู่ เช่น ๘ หรือ ๑๐ คน แล้วแต่ความยิ่งใหญ่ของงานนั้น และความจำกัดของสถานที่ โดยผู้แสดงแต่งกายแบบฟ้อนเล็บ คือ การสวมเสื้อแขนกระบอก นุ่งซิ่นมีเชิงกรอมเท้า มุ่นผมมวย มีอุบะห้อยข้างศีรษะ ในมือเป็นสัญลักษณ์ คือ ถือเทียน ๑ เล่ม การแต่งกายของฟ้อนเทียนนี้ ปัจจุบันแต่งได้อีกหลายแบบ คืออาจสวมเสื้อในรัดอก ใส่เสื้อลูกไม้ทับแต่อย่างอื่นคงเดิม และอีกแบบคือสวมเสื้อรัดอก แต่มีผ้าสไบเป็นผ้าทอลายพาดไหล่อย่างสวยงาม แต่ยังคงนุ่งซิ่นกรอมเท้าและมุ่นผมมวย มีอุบะห้อยศีรษะ
โอกาสที่แสดง ในงานพระราชพิธี หรือวันสำคัญทางศาสนา ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองชาวต่างชาติ และในงานประเพณีสำคัญตามแบบฉบับของชาวล้านนา
ฟ้อนเงี้ยว
ที่มาของภาพ : หนังสือวิพิธทัศนา, สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (๒๕๔๒, ๔๖)
ฟ้อนเงี้ยว
ฟ้อนเงี้ยว เป็นการฟ้อนที่ได้รับอิทธิพลมาจากการฟ้อนของเงี้ยวหรือไทยใหญ่ ประกอบด้วย ช่างฟ้อนหญิงชายหลายคู่ แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองไทยใหญ่ การฟ้อนเงี้ยวเหมาะสำหรับผู้ชาย แต่ต่อมาเพื่อให้เกิดความสวยงาม จึงมีการใช้ผู้หญิงล้วน หรือใช้ทั้งชายและหญิงแสดงเป็นคู่ๆ มีลีลาการฟ้อนที่แปลกแตกต่างไปจากฟ้อนเล็บ ฟ้อนเทียน การแต่งกาย
จะเลียนแบบการแต่งกายของชาวไทยใหญ่ โดยมีการดัดแปลงเครื่องแต่งกายออกไปบ้าง โดยใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก นุ่งโสร่งสั้นเพียงเข่า หรือกางเกงขากว้างๆ หรือบ้างก็นุ่งโสร่งเป็นแบบโจงกระเบนก็มี ใช้ผ้าโพกศีรษะ มีผ้าคาดเอว ใส่เครื่องประดับ เช่น กำไลมือ กำไลเท้า สร้อยคอ และใส่ตุ้มหู
โอกาสที่ใช้แสดง แสดงในงานรื่นเริงทั่วไป
กลองสะบัดชัย
ที่มาของภาพ : หนังสือวิพิธทัศนา, สถาบันนาฏดุริยางคศิลป์ (๒๕๔๒, ๖๘)
กลองสะบัดชัย
เป็นกลองพื้นเมืองเหนือที่มีประเพณีนิยมการสร้างกลองประจำเมือง เรียกว่า “กลองอุ่นเมือง” เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่บ้านเมือง ต่อมานิยมสร้างไว้ประจำวัด เรียกว่า กลองบูชา กลองสะบัดชัย คงจะเป็นกลองที่ดัดแปลงมาภายหลัง
เพื่อให้เคลื่อนย้ายได้สะดวกจึงมีขนาดเล็กลง และสามารถแบกหามไปในที่ที่ต้องการได้ การตีกลองสะบัดชัยผู้เล่นต้องออกลีลาท่าทางประกอบด้วย จึงจะเกิดความสนุกสนานเร้าใจ ปัจจุบันนิยมใช้ในงานแห่ขบวนต่างๆ
ฟ้อนเล็บ
ที่มาของภาพ : อัษฎา จรัญชล
ฟ้อนเล็บ
ฟ้อนเล็บ เป็นการฟ้อนชนิดหนึ่งของชาวไทยในภาคเหนือ ผู้ฟ้อนจะสวมเล็บยาว ลีลาท่ารำของฟ้อนเล็บคล้ายกับฟ้อนเทียน
ต่างกันที่ฟ้อนเทียนมือทั้งสองถือเทียน ตามแบบฉบับของการฟ้อน นางลมุล ยมะคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ไทย
ได้นำลีลาท่าฟ้อนอันเป็นแบบแผนมาจากคุ้มเจ้าหลวงมาฝึกสอน จัดเป็นชุดการแสดงที่น่าชมอีกชุดหนึ่ง
การแต่งกาย นิยมใช้ผู้แสดงเป็นผู้หญิงล้วนๆ นุ่งซิ่นมีเชิงที่ชายผ้า สวมเสื้อแขนกระบอก มีสไบเจียรบาดพาดไหล่ห่มทับเสื้อ ผู้แสดงแต่งหน้าสดสวย ยังมีการเกล้าผมมุ่นมวยแล้วใช้ดอกไม้ห้อยเป็นอุบะระย้าข้างศีรษะ
ท่ารำ มีการแบ่งท่ารำออกเป็น ๔ ชุด คือ
ชุดที่ ๑ประกอบด้วยท่า จีบหลัง (ยูงฟ้อนหาง) บังพระสุริยา วันทา บัวบาน กังหันร่อน
ชุดที่ ๒ประกอบด้วยท่า จีบหลัง ตระเวนเวหา รำกระบี่สี่ท่า พระรถโยนสาร ผาลาเพียงไหล่ บัวชูฝัก กังหันร่อน
ชุดที่ ๓ ประกอบด้วยท่า จีบหลัง พรหมสี่หน้า พิสมัยเรียงหมอน กังหันร่อน
ชุดที่ ๔ ประกอบด้วยท่า จีบหลัง พรหมสี่หน้า พิสมัยเรียงหมอนแปลง ตากปีก
โอกาสที่ใช้ ใช้แสดงในวันสำคัญ เช่น ต้อนรับแขกเมืองต่างชาติ หรือในงานประเพณี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น