การแต่งกายโขน

 การแต่งกายโขน  แบ่งออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายมนุษย์เทวดา(พระ นาง) ฝ่ายยักษ์ ฝ่ายลิง (เชิญคลิกดูภาพ)

ลักษณะบทโขน  ประกอบด้วย

       บทร้อง  ซึ่งบรรจุเพลงไว้ตามอารมณ์ของเรื่อง บทร้องแต่งเป็นกลอนบทละครเป็นส่วนใหญ่ อาจมีคำประพันธ์ชนิดอื่นบ้างแต่ไม่นิยม บทร้องนี้จะมีเฉพาะโขนโรงในและโขนฉากเท่านั้น

        บทพากย์  การแสดงโขนโดยทั่วไปจะเดินเรื่องด้วยบทพากย์ ซึ่งแต่งเป็นคำประพันธ์ชนิดกาพย์ฉบัง ๑๖ หรือกาพย์ยานี ๑๑ บทมีชื่อเรียกต่าง ๆ ดังนี้

๑  พากย์เมือง หรือพากย์พลับพลา คือบทตัวเอก เช่น ทศกัณฐ์หรือพระรามประทับในปราสาทหรือพลับพลา เช่น

ครั้นรุ่งแสงสุริยโอภา พุ่งพ้นเวหา

คิรียอดยุคันธร

สมเด็จพระหริวงศ์ทรงศร ฤทธิ์เลื่องลือขจร

สะท้อนทั้งไตรโลกา

เสด็จออกนั่งหน้าพลับพลา พร้อมด้วยเสนา

ศิโรตมก้มกราบกราน

พิเภกสุครีพหนุมาน นอบน้อมทูลสาร

สดับคดีโดยถวิล

๒  พากย์รถ เป็นบทชมพาหนะและกระบวนทัพ ไม่ว่าจะเป็นรถ ม้า ช้าง หรืออื่นใดก็ได้ ตลอดจนชมไพร่พลด้วย เช่น

เสด็จทรงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉาย

จำรูญจำรัสรัศมี

อำไพไพโรจน์รูจี สีหราชราชสีห์

ชักรชรถรถทรง

ดุมหันหันเวียนวง กึกก้องก้องดง

เสทือนทั้งไพรไพรวัน

ยักษาสารถีโลทัน เหยียบยืนยืนยัน

ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ

๓  พากย์โอ้ เป็นบทโศกเศร้า รำพัน คร่ำครวญ ซึ่งตอนต้นเป็นพากย์ แต่ตอนท้ายเป็นทำนองร้องเพลงโอ้ปี่ ให้ปี่พาทย์รับ เช่น

อนิจจาเจ้าเพื่อนไร้ มาบรรลัยอยู่เอองค์

พี่จะได้สิ่งใดปอง พระศพน้องในหิมวา

จะเชิญศพพระเยาวเรศ เข้ายังนิเวศน์อยุธยา

ทั้งพระญาติวงศา จะพิโรธพิไรเรียม

ว่าพี่พามาเสียชนม์ ในกมลให้ตรมเกรียม

จะเกลี่ยทรายขึ้นทำเทียม ต่างแท่นทิพบรรทม

จะอุ้มองค์ขึ้นต่างโกศ เอาพระโอษฐ์มาระงม

ต่างเสียงพระสนม อันร่ำร้องประจำเวร

๔  พากย์ชมดง เป็นบทตอนชมป่าเขา ลำเนาไพร  ทำนองตอนต้นเป็นทำนองร้อง เพลงชมดงใน ตอนท้ายเป็นทำนองพากย์ธรรมดา เช่น

เค้าโมงจับโมงมองเมียง คู่เค้าโมงเคียง

เคียงคู่อยู่ปลายไม้โมง

ลางลิงลิงเหนี่ยวลดาโยง ค่อยยุดฉุดโชลง

โลดไล่ในกลางลางลิง

ชิงชังนกชิงกันสิง รังใครใครชิง

ชิงกันจับต้นชิงชัน

นกยูงจับพยูงยืนยัน แผ่หางเหียนหัน

หันเหยีบเลียบไต่ไม้พยูง

๕  พากย์บรรยาย เป็นบทขยายความเป็นมา ความเป็นไป หรือพากย์รำพึงรำพันใดๆ เช่น พากย์บรรยายตำนานรัตนธนู

  เดิมทีธนูรัตน วรฤทธิเกรียงไกร

องค์วิศวะกรรมไซร้ ประดิษฐะสองถวาย

  คันหนึ่งพระวิษณุ สุรราชะนารายณ์

คันหนึ่งนำทูลถวาย ศิวะเทวะเทวัน

  ครั้นเมื่อมุนีทัก- ษะประชาบดีนั้น

กอบกิจจะการยัญ- ญะพลีสุเทวา

  ไม่เชิญมหาเทพ ธก็แสนจะโกรธา

กุมแสงธนูคลา ณ พิธีพลีกรณ์

๖  พากย์เบ็ดเตล็ด เป็นบทที่ใช้ในโอกาสทั่วๆ ไป เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เข้าประเภทใด เช่นกล่าวว่า ใครทำอะไร หรือพูดกับใคร ว่าอย่างไร เช่น

ภูวกวักเรียกหนุมานมา ตรัสสั่งกิจจา

ให้แจ้งประจักษ์ใจจง

แล้วถอดจักรรัตน์ธำมรงค์ กับผ้าร้อยองค์

ยุพินทรให้นำไป

ผิวนางยังแหนงน้ำใจ จงแนะความใน

มิถิลราชพารา

อันปรากฏจริงใจมา เมื่อตาต่อตา

ประจวบบนบัญชรไชย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การเล่นเพลงเต้นกำรำเคียว

การแสดงพื้นเมืองภาคกลาง รำเหย่อย หรือรำพาดผ้า

รำท่าครูสอน